สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 50%

06 มิถุนายน 2568
สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 50%

สหรัฐฯ ประกาศเพิ่มภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจาก 25% เป็น 50% ตั้งแต่เวลา 00:01 น. ของวันพุธที่ 4 มิถุนายน 2568 ซึ่งแม้ว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กในสหรัฐฯ ที่ประสบปัญหา แต่กลับสร้างความกังวลต่อภาคธุรกิจอื่นๆ ที่ใช้โลหะเหล่านี้ในปริมาณมากตั้งแต่ผู้ผลิตรถยนต์ไปจนถึงโรงงานผลิตกระป๋อง

การขึ้นภาษีนำเข้าครั้งนี้ถือเป็นมาตรการล่าสุดในสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งได้เริ่มเก็บภาษีหลายรายการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะภาษีเหล็กที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อฐานเสียงทางการเมืองของประธานาธิบดีทรัมป์ เพราะเหล็กเป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมอเมริกันที่เคยรุ่งเรืองแต่ปัจจุบันเสื่อมถอย

แม้ผลกระทบจากภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจยังไม่กระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวอเมริกันในทันที แต่นักวิเคราะห์เตือนว่าราคาที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง รถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอื่น ๆ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และแม้ภาษีจะช่วยปกป้องการจ้างงานในอุตสาหกรรมการผลิตเหล็กแต่อาจส่งผลเสียต่อการจ้างงานในอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ใหญ่กว่าหลายเท่า อย่างไรก็ตาม ฝ่ายบริหารรัฐบาลยืนยันว่าการเก็บภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมมีความจำเป็นต่อความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นายคุช เดไซ โฆษกทำเนียบขาวกล่าวกับ CNN ว่า “การผลิตเหล็กและอะลูมิเนียมภายในประเทศเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับฐานอุตสาหกรรมด้านการป้องกันประเทศของเรา รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะดึงการผลิตที่สำคัญต่อความมั่นคงของชาติและเศรษฐกิจกลับคืนสู่ประเทศ พร้อมกับเดินหน้าในการปฏิรูปด้านอุปทาน ทั้งการยกเลิกกฎระเบียบอย่างรวดเร็ว การลดภาษี และการส่งเสริมพลังงานอเมริกัน เพื่อมอบความมั่นคงทางเศรษฐกิจแก่ประชาชนต่อไป”

กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กมองว่าการขึ้นภาษีครั้งนี้สำคัญ แต่ภาคอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมกลับวิตก

นายลอเรนโซ กอนคาลเวส ซีอีโอของ Cleveland Cliffs หนึ่งในผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ของสหรัฐฯ และประธานสมาคมเหล็กอเมริกัน (AISI) กล่าวว่า “เรายังคงใช้เหล็กมากกว่าที่ผลิตได้ในอเมริกา การขึ้นภาษีเป็น 50% จะเพิ่มต้นทุนการผลิตรถยนต์ประมาณ 300 เหรียญสหรัฐ ซึ่งเขามองว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับราคารถยนต์โดยรวม ราคารถยนต์เฉลี่ยอยู่ที่ 48,000 เหรียญสหรัฐ หากเพิ่มอีก 300 ก็เป็น 48,300 เหรียญสหรัฐ ซึ่งไม่ใช่ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อรถ”

สมาคมอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวแทนของภาคอุตสาหกรรมนี้กลับแสดงความกังวลว่าภาษีนำเข้าที่กำหนดแบบครอบคลุมอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อแหล่งวัตถุดิบจากแคนาดาที่โรงงานแปรรูปในสหรัฐฯ พึ่งพาอยู่ ซึ่งโรงงานเหล่านี้เป็นแหล่งจ้างงานหลักของอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ

ผู้ประกอบการที่ใช้เหล็กและอะลูมิเนียมก็กังวลเช่นกัน

ผู้ผลิตกระป๋องเตือนว่าการขึ้นราคาวัตถุดิบอาจส่งผลต่อราคาสินค้าในร้านขายของชำ สถาบันผู้ผลิตกระป๋องสหรัฐฯ (Can Manufacturers Institute) เปิดเผยว่าผู้ผลิตกระป๋องในสหรัฐฯ นำเข้าเหล็กชนิด tin mill ถึง 80% เนื่องจากการผลิตในประเทศลดลงอย่างมาก และการเพิ่มภาษีนี้จะยิ่งผลักดันให้ต้นทุนสินค้ากระป๋อง เช่น อาหารและเครื่องดื่มให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีความชัดเจนว่าผู้บริโภคจะต้องจ่ายเพิ่มอีกกี่เซนต์ต่อกระป๋องและเมื่อใด ผู้เชี่ยวชาญยังเตือนด้วยว่ามีตำแหน่งงานจำนวนมากในอุตสาหกรรมที่ใช้เหล็กและอะลูมิเนียมซึ่งมีความเสี่ยงที่จะหายไปมากกว่าจำนวนตำแหน่งงานที่จะได้รับผลบวกจากภาษี

นายแลร์รี ซัมเมอร์ส อดีตผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติในสมัยประธานาธิบดีโอบามากล่าวกับ CNN ว่า “ผมคิดว่านี่คือนโยบายที่สร้างความเสียหายโดยตรง อย่างเช่น มีคนทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ มากกว่าคนที่ทำงานในอุตสาหกรรมเหล็กเองอย่างน้อย 50 เท่า ผลลัพธ์ของมาตรการนี้อาจเป็นการทำลายงานในภาคการผลิต และผลักดันราคาสินค้าให้สูงขึ้น”

ราคาเหล็กและอะลูมิเนียมเพิ่มขึ้น

     ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก 25% เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของทำเนียบขาวในการฟื้นฟูพื้นที่ “Rust Belt” และเพิ่มการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมสหรัฐฯ ต่อมาประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศการเพิ่มภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมเป็น 2 เท่าเมื่อวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม 2568 ระหว่างเยี่ยมชมโรงงาน US Steel ใกล้เมืองพิตต์สเบิร์ก

ประธานาธิบดีทรัมป์กล่าวกับฝูงชนที่เต็มไปด้วยแรงงานเหล็กที่ส่งเสียงเชียร์ว่า “ถ้าคุณไม่มีเหล็ก คุณก็ไม่มีประเทศ คุณจะสร้างกองทัพได้อย่างไร จะให้เราไปซื้อเหล็กจากจีนเพื่อใช้สร้างรถถัง เรือรบ หรือเรือเดินสมุทรหรืออุตสาหกรรมเหล็กที่แข็งแกร่งไม่ใช่แค่เรื่องศักดิ์ศรี ความมั่งคั่ง หรือความภาคภูมิใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันคือเรื่องของความมั่นคงของชาติ”

นายฟิลลิป กิ๊บส์ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเหล็กจากธนาคาร KeyBank ระบุว่าราคาตลาดของเหล็กพุ่งขึ้นมากกว่า 20% นับตั้งแต่ภาษี 25% มีผลบังคับใช้เมื่อเดือนมีนาคม 2568 โดยขึ้นอยู่กับประเภทของสินค้า ราคาของอะลูมิเนียมก็เพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ไม่มากนัก โดยดัชนีราคาผู้ผลิตของรัฐบาลแสดงให้เห็นว่าราคาสินค้าเหล็กเพิ่มขึ้น 6% ระหว่างเดือนมีนาคม – เมษายน 2568 ขณะที่ราคาสินค้าอะลูมิเนียมเพิ่มขึ้น 2%

อุตสาหกรรมโลหะได้ประโยชน์จากภาษีรอบก่อน แต่ยังมีมาตรการอื่นคุ้มครอง

ประธานาธิบดีทรัมป์เคยประกาศภาษีนำเข้าเหล็ก 25% และอะลูมิเนียม 10% เมื่อปี 2561 แต่ต่อมาในปี 2562 ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับเม็กซิโกและแคนาดา

แม้ปัจจุบันสหรัฐฯ จะไม่ใช่ประเทศที่เน้นการผลิตเหมือนในอดีต แต่ก็ยังใช้เหล็กและอะลูมิเนียมรวมกันหลายสิบล้านตันต่อปี งานวิจัยเกี่ยวกับภาษีในปี 2561 พบว่าทุกตำแหน่งงานที่ได้รับการคุ้มครองในอุตสาหกรรมเหล็ก จะต้องแลกด้วยการสูญเสียงานถึง 75 ตำแหน่งในอุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น

ผู้ผลิตรถยนต์สหรัฐฯ ส่วนใหญ่จัดหาวัตถุดิบเหล็กจากโรงงานภายในทวีปอเมริกาเหนือและมีสัญญาการซื้อระยะยาวที่ช่วยป้องกันผลกระทบจากราคาตลาดในระยะสั้น แต่ในภาษีรอบก่อนเมื่อปี 2561 บริษัทรถยนต์ระบุว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้บริษัทสูญเสียเงินหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ที่สำคัญ ภาษีดังกล่าวไม่ได้ช่วยเพิ่มการผลิตเหล็กภายในประเทศมากนัก ผู้ผลิตสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ได้ถอนตัวจากตลาดเหล็ก tin mill ที่ใช้ทำกระป๋องแล้ว รวมไปถึงบริษัท Cleveland Cliffs ด้วย บริษัทไม่พิจารณากลับไปผลิตเหล็ก tin mill แม้ภาษีจะเพิ่มเป็น 50% ก็ตาม

ภาษีอาจย้อนศรทำร้ายผู้ผลิตเอง

นายวิลเลียม ออปลิงเจอร์ ซีอีโอของ Alcoa หนึ่งในผู้ผลิตอะลูมิเนียมรายใหญ่ของสหรัฐฯ เตือนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ที่ผ่านมาว่าภาษีนำเข้า 25% ของอะลูมิเนียมก่อนหน้านี้อาจทำให้ชาวอเมริกันสูญเสียงานถึง 100,000 ตำแหน่ง การสูญเสียงานบางส่วนอาจเกิดจากการสูญเสียลูกค้า เช่น บริษัท Coca-Cola เปิดเผยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ว่าบริษัทเตรียมเปลี่ยนมาใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกและแก้วแทนอะลูมิเนียมเพื่อลดต้นทุนซึ่งเป็นการคำนึงจากอัตราภาษีเดิมที่ 25% เท่านั้น อย่างไรก็ดี โรงงานอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่พึ่งพาวัตถุดิบจากแคนาดา เพราะต้นทุนพลังงานในการผลิตต่ำกว่า สมาคมอะลูมิเนียมจึงเรียกร้องให้รัฐบาลยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าจากแคนาดา “เราขอเรียกร้องให้ฝ่ายบริหารใช้แนวทางแบบเฉพาะเจาะจง โดยกำหนดภาษีสูงเฉพาะกับประเทศที่ทำลายตลาด เช่น จีน และยกเว้นให้กับพันธมิตรที่เชื่อถือได้ เช่น แคนาดา แนวทางนี้จะช่วยให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าถึงอะลูมิเนียมที่จำเป็นต่อการเติบโต และในขณะเดียวกันก็ทำงานร่วมกับรัฐบาลเพื่อเพิ่มการผลิตภายในประเทศ”

สำหรับรัฐบาลต่างประเทศไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างที่ว่าการส่งออกเหล็กจากต่างประเทศมายังสหรัฐฯ เป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความต้องการใช้โลหะของสหรัฐฯ มีมากกว่ากำลังการผลิตภายในประเทศอย่างมาก ปัจจุบันสหรัฐฯ แทบนำเข้าเหล็กจากจีนโดยตรงน้อยมากเนื่องจากมาตรการภาษีกับจีนที่มีอยู่ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐฯ โต้แย้งว่ากำลังการผลิตมหาศาลของจีนเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคาตลาดโลหะโลกตกต่ำ จนโรงงานในสหรัฐฯ แข่งขันลำบาก

แคนาดาเป็นผู้ส่งออกเหล็กและอะลูมิเนียมรายใหญ่ที่สุดให้แก่สหรัฐฯ ขณะที่เม็กซิโก บราซิล เกาหลีใต้ และเยอรมนี ก็เป็นผู้ส่งออกเหล็กรายสำคัญ ส่วนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จีน และเกาหลีใต้ ส่งอะลูมิเนียมให้แก่สหรัฐฯ ในปริมาณเล็กน้อย

นางแคทเธอรีน คอบเดน ประธานสมาคมผู้ผลิตเหล็กแห่งแคนาดา ระบุว่าการเพิ่มภาษีเป็นสองเท่าคือการปิดตลาดสหรัฐฯ ต่ออุตสาหกรรมของแคนาดาโดยสิ้นเชิง ภาษีเหล็ก 25% ที่ประกาศก่อนหน้านี้ก็ส่งผลต่อผู้ผลิตในแคนาดาแล้ว โดยสมาคมฯ ประเมินว่าการส่งออกเหล็กของแคนาดาไปสหรัฐฯ ลดลงถึง 30% ตั้งแต่มีการใช้ภาษีเมื่อเดือนมีนาคม 2568 “ภาษีเหล็กระดับนี้จะสร้างความปั่นป่วนอย่างรุนแรง และส่งผลกระทบเชิงลบต่อห่วงโซ่อุปทานเหล็กที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดของเรากับลูกค้าทั้งสองฝั่งพรมแดน”

สมาคมอะลูมิเนียมแห่งแคนาดาแถลงเมื่อวันอังคารที่ 3 มิถุนายน 2568 ว่าภาษีที่เพิ่มขึ้นจะทำให้การส่งออกอะลูมิเนียมไปสหรัฐฯ ขาดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจและภาคอุตสาหกรรมของแคนาดาอาจต้องเบนทิศทางการค้าสู่สหภาพยุโรปแทน

กระบวนการถลุงอะลูมิเนียมต้องใช้ไฟฟ้าคิดเป็นราว 40% ของต้นทุน ซึ่งสมาคมฯ ประเมินว่า หากต้องแทนที่อะลูมิเนียมจากแคนาดาด้วยการผลิตในสหรัฐฯ เอง จะต้องเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก อุตสาหกรรมของแคนาดาสนับสนุนเป้าหมายของสหรัฐฯ ในการเพิ่มกำลังการผลิตอะลูมิเนียมในประเทศจาก 50% เป็น 80%แต่อัตราภาษีลงโทษในระดับนี้ไม่ช่วยสร้างความมั่นใจให้กับการลงทุนระยะยาวที่ต้องใช้เงินทุนสูง และแม้สหรัฐฯ จะเพิ่มกำลังผลิตในประเทศ ก็ยังต้องพึ่งพาการนำเข้าอะลูมิเนียมจำนวนมากอยู่ดี

นักวิเคราะห์ในอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมชี้ว่ามาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ผ่านมายังไม่สามารถลดการนำเข้าจากโรงงานอะลูมิเนียมในแคนาดาได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมในสหรัฐฯ ยังเล็กเกินไปและต้องใช้การลงทุนมหาศาลหากต้องการทดแทนการนำเข้าได้อย่างเต็มรูปแบบ

เมื่อปี 2567 บริษัท Century Aluminum ซึ่งเป็นผู้ผลิตในสหรัฐฯ ระบุว่าจะสร้างโรงถลุงอะลูมิเนียมแห่งใหม่แห่งแรกในรอบครึ่งศตวรรษ ซึ่งจะเพิ่มกำลังผลิตภายในประเทศเป็น 2 เท่า อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ก็ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าอะลูมิเนียมเป็นส่วนใหญ่ต่อไป

สำหรับประเทศไทย ในปี 2567 สหรัฐฯ นำเข้าเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กจากไทยมีมูลค่า 1,205.23 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยภายในหมวดนี้มีทั้งเหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กรีดเย็น ท่อเหล็ก และโครงสร้างเหล็กสำเร็จรูป

ส่วนด้านอะลูมิเนียม ไทยเป็นประเทศส่งออกอันดับ 2 ไปยังสหรัฐ คิดเป็น 15% ของการส่งออกอะลูมิเนียมทั้งหมดของไทย สินค้าที่ส่งออก ได้แก่ อะลูมิเนียมแท่ง อะลูมิเนียมรีดแผ่น และผลิตภัณฑ์อะลูมิเนียมที่ใช้ในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์และยานยนต์


แหล่งที่มา : DITP

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.